บันทึกประสบการณ์ Meet Up QA .. อยากเป็น QA ให้ปังต้องทำยังไง?

Sutthinai'S
3 min readMar 1, 2023

--

หื้ม ๆ ๆ อะไรแดง ๆ QA QA แว้บ ๆ ผ่านหน้า Feed ไปนะ เฮ้ยย จะมีงาน Meet Up ยังงั้นเหรอ ลงทะเบียนสิครับรออะไร .. และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ได้มางาน QA Meet Up ในครั้งนี้ ฮูเร่ร่ร่ร่

โดยงานในครั้งนี้จัดโดย TD Tech ที่ทำในเรื่องการผลักดันร้านโชห่วยด้วยการยกระดับให้มีมาตรฐานภายใต้สโลแกน “ถูก ดี มีมาตรฐาน” ( นี่ !! ขายของให้ไปอี๊ก ) เท่าที่แอบไปส่อง Page มาเห็นว่ามีทีม Data เป็นของตัวเองด้วย เรียกได้ว่าครบวงจรมาก ๆ เลย และที่สำคัญ Office สวยม๊ากก

ก่อนจะออกทะเลไปไกลกว่านี้ ขอตัดจบแล้วไปเข้าเนื้อหา Meet Up ครั้งนี้กันเลยใน 3 2 1 .. !!

Introduction

ในช่วงแรกจะเป็นการแนะนำตัวของพี่ ๆ Speaker ที่แต่ละท่านก็มากประสบการณ์ในสายงานนี้กันจริง ๆ การันตีด้วยชั่วโมงการบินในสายงาน 10 ปีบวก !! ทั้งจาก Manual และ Automate ในหลากหลายอุตสาหกรรม พร้อมกับเล่าจุดเริ่มต้นในการก้าวเข้าสู่วงการ QA ของแต่ละท่าน ว่ามีประสบการณ์อย่างไรกันบ้าง

Speaker ในงานที่แต่ละท่านประสบการณ์ 10 ปีบวก !! — ขอขอบคุณรูปภาพจาก Page TD Tech

Different between QA and Tester

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง QA และ Tester .. ใน session นี้พี่ Speaker ได้พาไปดูอย่างเร็ว ๆ ว่าความแตกต่างต่างระหว่าง QA และ Tester คืออะไร โดยหัวใจหลักคือ

QA จะทำงานด้วยทัศนคติแบบ Preventive
Tester จะทำงานด้วยทัศนคติแบบ Corrective

ด้วยงานของ QA คือการตรวจสอบคุณภาพให้ได้มาตรฐานก่อนส่งมอบให้ลูกค้า ซึ่งมาตรฐานที่ว่าไม่ใช่แค่การทำให้ Software สามารถทำงานตรงตาม Requirement เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่อง “เวลา” ที่จะต้องจัดการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้

เป็นสาเหตุให้ QA จะไม่รอ Test ที่ปลายน้ำเพียงอย่างเดียว แต่จะร่วมวางแผน สังเกต ตั้งข้อสงสัย เพื่ออุดรอยรั่วตั้งแต่ก่อนเริ่มเขียน Code จริง

Slide ประกอบ session What is different between QA and Tester

Something you will encounter if you choose this path

ความรู้ที่รอบด้าน การสื่อสาร และความคาดหวัง + ความกดดันจากแต่ละตำแหน่ง

เป็น Key หลักจากหัวข้อนี้ที่ต้องเจอแน่ ๆ เมื่ออยากเข้ามาทำงานด้านนี้ เพราะการเป็น QA จำเป็นต้องมีความรู้รอบด้านติดตัว ที่อาจไม่จำเป็นต้อง Expert แต่ก็ต้องอยู่ในระดับที่ใช้ในการทำงานจริงได้ ทั้งเรื่องการเข้าใจ Business Tool ต่าง ๆ ที่ใช้ในการ Test หรือหากอยากก้าวไปเป็น Automate ก็จำเป็นต้อง Code ได้ด้วย

และด้วยการทำงานที่ต้องประสานกับหลายฝ่าย ทั้งจากฝั่งผู้พัฒนาเอง และ User ทักษะที่จำเป็นจะต้องมีติดตัวไว้เสมอคือ การสื่อสารและการต่อรอง เพราะหน้างานจริงอาจต้องมีการเจรจาจากหลายฝ่ายในการเอาระบบขึ้นโดยที่ยังไม่พร้อม 100%

เป็นเหตุสืบเนื่องมาถึงความคาดหวัง และความกดดันจากแต่ละฝ่ายในการทำงาน เพราะแต่ละฝ่ายก็มีแผนงานที่จำเป็นจะต้องสำเร็จให้ได้ตามเป้า QA ที่เป็นเหมือนด่านสุดท้ายก่อนถึงมือลูกค้าจึงถูกคาดหวังว่างานที่ออกมาจะดี และตรงตามกรอบเวลาที่วางไว้นั้นเอง

Let’s talk about career path

ส่วนตัวคิดว่า session นี้สั้นไปนิดนึง อาจด้วยเวลาเริ่มบีบเข้ามา จึงทำให้มีพูดถึงแค่เรื่องการย้ายสายได้หลากหลาย หากเป็นคน Get Requirement และสื่อสารได้ดีก็สามารถโยกไปเป็น BA ได้ หรือหากมี Skill Manage ที่ดีก็สามารถย้ายไปทำเป็น PO, PM ได้เช่นกัน

How to become a good QA

Slide ประกอบ session How to become a good QA

ปิดท้ายด้วย Peak session ด้วยคำถาม “หากอยากเป็น QA ที่ดี ต้องทำยังไง?” โดยคำตอบจากพี่ ๆ Speaker ค่อนข้างเยอะ และหลากหลาย จึงทำการรวมกลุ่มออกมาได้หลัก ๆ ดังนี้

Attitude & Responsibility

หากย้อนไปใน session QA กับ Tester ต่างกันอย่างไร ข้อแตกต่างที่จะส่งผลในการทำงาน ว่าคน ๆ หนึ่งจะเป็น QA หรือ Tester คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Attitude ที่ดี ตระหนักความสำคัญในหน้าที่ปราการด่านสุดท้ายเสมอ

Fundamental & Tools

เมื่อมี Attitude ที่ดี Skill ก็ต้องตามมา โดยเริ่มจาก Fundamental ว่าหน้าที่ QA มีกระบวนการการทำงานอย่างไร เอกสารแต่ละชิ้นคืออะไร จัดทำขึ้นมาเพื่ออะไร และมีความสำคัญอย่างไร ศึกษาเทคนิคการ Test ที่จะช่วยให้สามารถคิด Case ได้ครอบคลุมมากขึ้น รวมไปถึง Tool ทั้งหลายที่ใช้ในการ Test อีกด้วย

Soft Skill

อย่างที่ได้รู้ไปว่าตำแหน่ง QA จำเป็นต้องประสานงานกับหลายส่วน ดังนั้น Soft Skill จะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้การทำงานราบลื่น ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่การพูดคุยต่อหน้า แต่รวมไปถึงการเขียนเอกสาร หรือ Log ต่าง ๆ ว่ามีความชัดเจน อ่านง่าย ตรงประเด็นหรือไม่ด้วย

Creativity

เมื่อเป็น QA ที่เน้นการทำงานเชิงรุก ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดกับกรอบเดิม ๆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมีติดตัว ยกตัวอย่าง เราสามารถนำการมาของ AI ไปใช้ในการทำงานของเราให้ดีขึ้นได้อย่างไง หรือเมื่อเราเจอปัญหาใหญ่ที่ยังไม่เคยเจอมาก่อน เรามีวิธีที่จะแก้ปัญหาด้วยทรัพยากรที่มีในตอนนั้นได้อย่างไร

อีกทั้งในงานมีช่วง Q&A และช่วงให้พูดคุยกัน ซึ่งได้มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกับพี่ ๆ ในงานอยู่บ้าง ทำให้ได้ความรู้มาเยอะมากกกทีเดียว จริง ๆ ตอนเข้างานมีการเขียนป้ายชื่อ ที่ต้องเขียนชื่อบริษัทด้วย แอบคิดว่าจะมีการให้แนะนำทีม การทำงานบริษัทที่ทำอยู่สั้น ๆ ซึ่งคงจะดีเพราะน่าจะเริ่มคุยกันได้ง่ายขึ้นเยอะทีเดียว

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทาง TD Tech ที่จัดงานดี ๆ แบบนี้ขึ้นมาครับผ้ม

ปล.พิซซ่า และเครื่องดื่มละลานตามากครับ

ขอบคุณ TD Tech สำหรับพิซซ่า และเครื่องดื่ม :)

--

--